พระพุทธรูปทองคำที่ใหญ่ที่สุดในโลก

.
“หลวงพ่อทองคำ” พระพุทธรูปทองคำ ศิลปะสุโขทัย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลรัชกาลที่ 9 ทรงพระราชทานพระราชทินนามว่า… “พระพุทธมหาสุวรรณปฏิมากร” ปัจจุบันประดิษฐานอยู่ ณ พระวิหารแห่งวัดไตรมิตรวิทยาราม (วัดสามจีน) เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพมหานคร เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย หน้าตักกว้าง 6 ศอก 5 นิ้ว สูงจากฐานถึงพระเกตุเมาฬี 7 ศอก 1 คืบ 9 นิ้ว น้ำหนักประมาณ 5 ตันครึ่ง *เฉพาะมูลค่าทองคำตามที่บันทึกในกินเนสบุ๊คนั้น อยู่ที่ประมาณ 28.5 ล้านปอนด์
สร้างเมื่อใดไม่ปรากฏหลักฐาน เชื่อกันว่าเป็นหนึ่งในพระพุทธรูปสำคัญของวัดมหาธาตุ สุโขทัย ซึ่งมีบันทึกไว้ในหลักศิลาจารึกว่า “วัดมหาธาตุ กลางเมืองสุโขทัย มีพิหาร มีพระพุทธรูปทอง มี*พระอัฏฐารส มีพระพุทธรูป มีพระพุทธรูปอันใหญ่ มีพระพุทธรูปอันราม” ซึ่งพิจารณาทั้งตามหลักฐานอื่นและเหตุผลประกอบแล้ว พระพุทธรูปองค์นี้ น่าจะเป็นพระพุทธรูปทององค์ดังกล่าว อีกทั้งความความประณีตของพุทธศิลปะ ความแยบยลของส่วนประกอบที่ทำเป็นกุญแจกล ความทรงค่ามหาศาลของเนื้อทองคำบริสุทธิ์ เป็นสิ่งซึ่งยากจะหาผู้ใดทำขึ้นได้ นอกจากพระมหากษัตริยาธิราชเจ้าผู้ทรงมีพระบรมโพธิสมภารอันยิ่งใหญ่ จึงจะหล่อสร้างพระปฏิมาที่ล้ำเลิศเช่นนี้ได้สำเร็จ
.

.
.
*พระอัฏฐารส คือ พระพุทธรูปลักษณะประทับยืน ปางห้ามญาติ ขนาดใหญ่ นิยมสร้างในศิลปะสุโขทัยและมีความสูงประมาณ 18 ศอก หรือประมาณ 10 เมตร.
.
.
.
การค้นพบ พระทองคำ

แต่เดิมพระพุทธรูปทองคำองค์นี้ ถูกพอกปิดด้วยปูนทั่วทั้งองค์ บดบังเนื้อทองคำไว้ภายใน การตกแต่งองค์พระภายนอกก็เป็นแบบพื้น ๆ ธรรมดา เหมือนพระปูนปั้นที่มีอยู่ทั่วไป ไม่ได้แตกต่างหรือโดดเด่น จากหลักฐานเดิมพบว่า ท่านเคยประดิษฐานเป็นพระประธานในพระอุโบสถวัดพระยาไกรโชตนาราม เขตยานนาวา กรุงเทพฯ มาตั้งแต่แผ่นดินพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (ร.3) ต่อมา วัดพระยาไกร ขาดการบูรณะปฏิสังขรณ์จนเกือบจะเป็นวัดร้าง ราวปี พ.ศ. 2474 บริษัทอีสต์เอเชียติก จำกัด ทำธุรกิจเกี่ยวกับสัมปทานค้าไม้ ได้ขอเช่าที่จากรัฐบาล แล้วปรับปรุงบริเวณวัดเป็นที่ทำงานของบริษัท
.
*พระทองคำ ซึ่งตั้งเป็นพระประธานในพระวิหาร ที่ถูกปรับมาเป็นสำนักงานของโรงเลื่อยอีสต์เอเชียติก
.
ในขณะนั้น วัดสามจีน (ต่อมาเปลี่ยนเป็น วัดไตรมิตรวิทยาราม) กำลังบูรณปฏิสังขรณ์วัดครั้งใหญ่ และสร้างวิหารเพิ่มเติม สมเด็จพระวันรัต (เฮง เขมจารี) เจ้าคณะแขวงล่าง ได้มีดำริว่าควรไปอัญเชิญ พระประธานวัดพระยาไกร มาประดิษฐานที่วิหารใหม่ใน วัดสามจีน จะเป็นการเหมาะสม

ประมาณปี พ.ศ. 2475-2480 พระพุทธรูปปูนปั้นจึงถูกอัญเชิญมาประดิษฐานที่ข้างเจดีย์วัดสามจีนเป็นการชั่วคราว เพื่อรอให้พระวิหารสร้างเสร็จ ระหว่างนั้นก็มีผู้มาขออัญเชิญท่านไปประดิษฐานยังวัดต่าง ๆ แต่ก็ไม่สามารถเคลื่อนย้ายไปได้ งานก่อสร้างพระวิหารวัดสามจีนใช้เวลากว่า 20 ปี จึงแล้วเสร็จ
.
วันที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2498 ได้มีการเคลื่อนย้ายพระพุทธรูปปูนปั้นไปยังวิหารใหม่ การเคลื่อนย้ายเป็นไปด้วยความยากลำบาก เนื่องจากองค์พระมีขนาดใหญ่และหนัก ต้องใช้ปั้นจั่นยกองค์พระพุทธรูป ขณะที่ทำการยกนั้นปรากฏว่าลวดสลิงที่ยึดองค์พระเกิดขาด องค์พระพุทธรูปกระแทกลงบนพื้นดินอย่างแรง พอดีกับเป็นเวลาใกล้ค่ำและฝนตกหนัก การอัญเชิญพระพุทธรูปในวันนั้นจึงหยุดชะงักลง
ครั้นรุ่งเช้า ท่านเจ้าอาวาสได้มาตรวจดูองค์พระ ก็ได้พบเห็นรอยแตกที่พระอุระ แลเห็นรักที่ฉาบผิวองค์พระด้านใน เมื่อแกะรักออกก็ได้พบเนื้อทองคำบริสุทธิ์อยู่ภายใน ท่านเจ้าอาวาสจึงสั่งการระดมผู้คนช่วยกันกะเทาะปูนและลอกรักออกหมดทั้งองค์ จึงได้พบกับ พระพุทธปฏิมากร สกุลช่างสุโขทัย เนื้อทองคำ งดงาม ล้ำค่า เป็นที่อัศจรรย์ซึ่งถูกซุกซ่อนผ่านกาลเวลามากว่า 800 ปี
การค้นพบ พระทองคำวัดไตรมิตรฯ ครั้งนั้น เป็นข่าวใหญ่ครึกโครมไปทั่วทั้งประเทศ สื่อต่าง ๆ หนังสือพิมพ์ทุกฉบับต่างประโคมข่าวกันอย่างกว้างขวาง พุทธศาสนิกชนต่างปีติยินดีกันทั่วหน้า ผลการตรวจสอบและประเมินเนื้อทองคำ ถือว่าเป็นทองคำบริสุทธิ์ เรียกว่า ทองเนื้อเจ็ด น้ำสองขา (มาตราทองคำของไทยโบราณตั้งไว้ตั้งแต่ทองเนื้อสี่ คือทองคำหนัก 1 บาท จะมีค่า 4 บาท ทองเนื้อเจ็ด คือทองหนัก 1 บาท จะมีค่า 7 บาท ซึ่งเป็นทองคำที่มีค่าของเนื้อทองรองจาก ทองนพคุณ หรือ ทองเนื้อเก้า / ส่วนคำว่า สองขา หมายถึง 2 สลึง)

.
องค์พระมีน้ำหนักกว่า 5 ตัน คิดเป็นน้ำหนักทองคำ 25,000 ปอนด์ หรือคิดเป็นมูลค่าเฉพาะเนื้อทองคำในขณะนั้น (พ.ศ.2498) 14 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 294,000,000 บาท อันเป็นราคาทองคำที่ถูกประเมินในครั้งแรก *ปัจจุบัน (พ.ศ.2568) ทองคำ บาทละ 55,000 บาท โดยประมาณ
หลวงพ่อทองคำสุโขทัยไตยมิตร นั้นทรงคุณค่ามหาศาลทั้งทางด้านประวัติศาสตร์ชาติไทย ทั้งคุณค่าด้านศิลปะวัฒนธรรมไทย, ภูมิปัญญาเชิงช่าง และคุณค่าทางจิตใจ อันไม่อาจจะตีค่าประเมินราคาได้
.
*หลวงพ่อทองคำ มีความพิเศษในการจัดสร้างที่เป็นภูมิปัญญาโบราณอย่างหนึ่งคือ องค์พระสามารถถอดแยกออกได้เป็น 9 ส่วน ชิ้น คือ พระพาหาทั้งสอง (แขน) พระหัตถ์ทั้งสอง (มือ) พระชงฆ์ทั้งสอง (หน้าแข้ง) พระเพลาทั้งสอง (ขา หรือ หน้าตัก) และตรงพระศอ (คอ) โดยมี สลักกล และ กุญแจ สำหรับถอดชิ้นส่วนต่าง ๆ ออกเพื่อการเคลื่อนย้าย และเมื่อนำกลับมาประกอบเข้าก็จะสนิทเหมือนเป็นเนื้อเดียวกัน ได้อย่างน่าอัศจรรย์.
.

.
ขอบคุณข้อมูลและภาพจาก…
Th.wikipedia.org/
pinterest.com/
silpa-mag.com/
finearts.go.th/
mgronline.com/
faiththaistory.com/
travel.trueid.net/
historyoftemples.kachon.com/