รงคทฤษฎี : “ศาสตร์แห่งพระสมเด็จ”

จากบทความ “ตรียัมปวาย-พระเบญจภาคี” ที่อ้างถึง “ศาสตร์แห่งพระสมเด็จ” ที่ลงใน องค์พระฮับ ไปแล้วนั้น ได้มีการกล่าวถึง “ทฤษฎีพระพิมพ์” ที่แบ่งเป็นหลักการต่างๆ ไว้ ซึ่งจุดหนึ่งที่ใช้ในการวิเคราะห์พระผง โดยเฉพาะพระสมเด็จนั้น อ.ตรียัมปวาย จำแนกหลัก รงค-ทฤษฎี อันเป็นมาตรฐานของการดูมวลสารร่องรอยที่ผ่านกาลเวลา ที่มีผลกระทบต้องการเปลี่ยนแปลงทั้งสีและผิวของพระผงพระกรุ ไว้อย่างน่าสนใจสำหรับคนในวงการพระเครื่อง ทั้งมือเก่ามือใหม่ ที่ควรศึกษาองค์ความรู้แห่งครูบาอาจารย์ไว้เป็นมาตรฐานร่วมกัน ในการวางพื้นฐานที่เป็นหลักการสำคัญ
การจะทำความเข้าใจในเรื่อง วรรณะ(สีผิว) หรือ รงค-ทฤษฎี คำที่ท่านอ.ตรียัมปวาย ได้บัญญัติเอาไว้ เกี่ยวกับเนื้อหามวลสารและว่าด้วยธรรมชาติของความเก่าเก็บในพระสมเด็จที่เป็นต้นแบบ อันเป็นการกำหนดลักษณะเฉพาะตัวของพระสมเด็จแต่ละองค์ อันจะนำไปสู่การพิสูจน์ความแท้ของพระ ดังนี้
*ตรียัมปวาย ได้กล่าวไว้ในหนังสือ “ปริอรรถาธิบายฯ เล่มที่ 1 เรื่อง พระสมเด็จฯ” เกี่ยวกับเรื่องของวรรณะพระสมเด็จฯไว้ว่า…“พระสมเด็จฯ เป็นพระเนื้อปูนปั้น ซึ่งจัดว่าเป็น “เนื้อดิบ” หรือไม่ได้ผ่านความร้อนเลย (เช่นที่เกิดกับพระเนื้อดินเผา) ดังนั้น วรรณะของเนื้อจึงเกิดจากมวลสารของเนื้อเอง (เช่น ปริมาณวัสดุ อิทธิวัสดุ) และเกี่ยวกับภาวะแวดล้อมในภายหลังอันต่างกันของพระแต่ละองค์ (เช่น พระที่ไม่ได้ใช้เนื้อจะแห้งผากไม่สดใส พระอมน้ำหมากในปากของคนสมัยก่อนจะขาววับเป็นเงาสว่างและมีคราบน้ำหมากติด พระสัมผัสเนื้อจะมีความเข้มและนุ่มนวลจัด พระที่ใช้ไม่ทะนุถนอมจะสึกช้ำมีคราบสกปรก พระที่ผ่านกรรมวิธีเสริมคุณสมบัติของผิวบางอย่างเช่น เสริมความฉ่ำ เสริมความแห้งบริสุทธิ์ เสริมความนุ่ม เสริมความซึ้ง จะมีความงดงามขึ้น เป็นต้น)”
.

วรรณะพระสมเด็จฯ 12 ลักษณะ
พระสมเด็จฯ 12 วรรณะ ตามทฤษฎี “รงคทฤษฎี” ตามที่ตรียัมปวายได้อธิบายไว้ในหนังสือ “ปริอรรถาธิบายแห่งพระเครื่องฯ เล่มที่ 3 พระรอด” พิมพ์เมื่อปี พ.ศ. 2503 โดยบอกด้วยว่า วรรณะของเนื้อพระสมเด็จฯนั้นจะอ่อนจางกว่าวรรณะที่ใช้นามเดียวกันของเนื้อพระดินเผาเป็นอันมาก โดยจะขออนุญาตสรุปความโดยสังเขป และขอนำเสนอเพื่อให้เป็นประโยชน์ในทางการศึกษาดังต่อไปนี้
1.วรรณะสีน้ำนม
วรรณสีน้ำนม – มีวรรณะขาวข้นคล้ายสีน้ำนมหรือปูนขาว เป็นวรรณะที่ขาวจัดที่สุด พบในเนื้อปูนแกร่งซึ่งมีผิวหนาเป็นส่วนใหญ่ มีบ้างในเนื้อขนมตุ้บตั้บและเนื้อปูนนุ่ม ถ้าผ่านการใช้พอสมควร จะขาววับและเกิดเงาสว่างอย่างจัด พบในพระสมเด็จวัดบางขุนพรหมเป็นส่วนใหญ่สำหรับองค์ที่ปราศจากคราบกรุ ของวัดระฆังฯมีน้อยและไม่ขาวจัดเท่า
.
2.วรรณะสีจำปี
วรรณสีจำปี – มีวรรณะขาวนวลหม่นเพียงเล็กน้อย คล้ายสีดอกจำปาสด เป็นวรรณะของเนื้อประเภทหนึกนุ่มเช่น เนื้อเกสรดอกไม้และเนื้อปูนนุ่มเป็นส่วนมาก ไม่ปรากฏความซึ้งอย่างจัด ถ้าผ่านการใช้หรือสรงน้ำหอม จะเปลี่ยนแปลงไปทางเหลืองหม่นเล็กน้อย มักมีแป้งโรยพิมพ์หรือผิวฟู ด้านหน้าขาวนวลจัด เป็นของเนื้อวัดระฆังฯเป็นส่วนมาก มีปรากฏในของวัดบางขุนพรหมเช่นกัน
(ตรียัมปวาย บอกว่าผิวพระสมเด็จฯมี 4 ลักษณะคือ ผิวเยื่อหอม ผิวแป้งโรยพิมพ์ (มีทั้งแบบเกิดมาแต่เดิมและเกิดขึ้นใหม่ภายหลัง) ผิวเรียบ (มีแบบเรียบบาง และเรียบหนา) และผิวฟูตรียัมปวายให้คำนิยามของคำว่า ผิวฟู ว่าหมายถึง ผิวที่มีลักษณะฟูตัว ผิวหน้าเป็นเกล็ดกระดี่อย่างละเอียดทำนองผิวดินสอพองหรือหินลับมีด เกิดจากเนื้อที่ค่อนข้างเหลวมากในกรรมวิธีการสร้าง ทำให้เยื่อครีมซ้อนขึ้นมาบนส่วนหน้า ซึ่งเป็นส่วนสัมผัสกับแม่พิมพ์ ผิวฟูมี 2 ลักษณะคือ ฟูหนา กับ ฟูบาง ผิวฟูจะเกิดกับด้านหน้าเท่านั้นเหมือนการแตกลายงา)
3.วรรณะสีงาช้าง

วรรณสีงาช้าง – มีวรรณะขาวอมเหลืองหม่นอ่อนนวลคล้ายสีงาช้าง ปรากฏโดยทั่วไปในพระสมเด็จฯประเภทเนื้อหนึกนุ่ม เช่น เนื้อเกสรดอกไม้ เนื้อกระแจะจันทน์ หรือประเภทเนื้อผสม เช่น เนื้อปูนนุ่ม ไม่ว่าจะผ่านการใช้หรือไม่ก็ตาม สำหรับประเภทเนื้อหนึกแกร่ง คือ เนื้อปูนแกร่ง ซึ่งมีผิวไม่หนามากและไม่แกร่งจัดเกินไป ถ้าผ่านการสัมผัสบ้าง ก็อาจปรากฏวรรณะนี้ได้ (น่าจะพบได้ทั้งในเนื้อวัดระฆังฯและวัดบางขุนพรหม ร.อ.หลวงบรรณยุทธชำนาญ (สวัสดิ์ นาคะสิริ) ผู้ที่ตรียัมปวายให้เกียรติยกย่องเป็น “เชษฐาจารย์ทางพระเครื่อง” เคยพูดถึงเรื่องนี้ในหนังสือ พระพิมพ์เครื่องรางกับพระพุทธบูชา พิมพ์เมื่อปี พ.ศ. 2488 ของท่านว่า พระสมเด็จวัดบางขุนพรหม กรุเก่า ที่นำขึ้นมาเมื่อ ร.ศ. 112 นั้น “มีสีขาวเหมือนงาช้าง”)
4.วรรณะสีดินอิบ
วรรณสีดินอิบ – มีวรรณะขาวขุ่นหม่น ผิวมีลักษณะค่อนข้างขาวและค่อนข้างบาง เนื้อภายใต้ผิวมีวรรณะหม่นหรือขุ่นคล้ำแกมเทาอ่อน พบในเนื้อขนมตุ้บตั้บ (เนื้อประเภทหนึกแกร่ง) และเนื้อกระยาสารท (เนื้อประเภทเนื้อผสม) เป็นส่วนมาก และในเนื้อกระแจะจันทน์ (เนื้อประเภทหนึกนุ่ม) พบเป็นส่วนน้อย เนื้อที่มีวรรณะนี้จะต้องเป็นเนื้อที่มีผิวไม่หนาและแกร่งนัก โดยมากพบผิวแป้งโรยพิมพ์บางๆอยู่บนเนื้อทางด้านหน้าพระ (ผิวแป้งโรยพิมพ์มักพบในพระที่ไม่ผ่านการใช้หรือพระที่ผ่านการสรงน้ำก็ได้ และน่าจะพบได้ในเนื้อของทั้งสองวัด)
5.วรรณะสีน้ำข้าว
วรรณสีน้ำข้าว – มีวรรณะค่อนข้างข้นคล้ายสีน้ำนม แต่ไม่ขาวสดจัดเหมือน เป็นวรรณะขาวขุ่นแกมเทาอ่อน คล้ายสีน้ำข้าวที่เจือด้วยขี้เถ้าเล็กน้อย เป็นวรรณะของเนื้อปูนแกร่ง และเนื้อขนมตุ้บตั้บ (เนื้อประเภทหนึกแกร่ง) โดยเฉพาะ และถ้าเป็นเนื้อแตกลายงา (การแตกลายงามักจะเกิดในพระสมเด็จฯประเภทเนื้อหนึกแกร่ง) บริเวณกลางของเกล็ดลายงาจะเปล่งวรรณะนี้ออกมาเด่นชัดกว่าปกติ เนื้อประเภทนี้ต้องมีผิวแกร่ง และมีเงาสว่างสดใส (อาจารย์ประกิต หลิมสกุล หรือพลายชุมพล แห่งหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ เคยกล่าวว่า เงาสว่างในพระเนื้อหนึกแกร่งมักจะเกิดกับพระใช้) พระสมเด็จฯประเภทเนื้อหนึกนุ่มจะไม่ปรากฏวรรณะประเภทนี้ (วรรณะประเภทนี้ น่าจะพบได้ในเนื้อทั้งสองวัด)
6.วรรณะสีก้านมะลิ

วรรณสีก้านมะลิ – มีวรรณะขาว แต่มีวรรณะเขียวอ่อนอย่างเจือจางแฝงอยู่ คล้ายสีก้านมะลิซีด เป็นวรรณะของเนื้อที่มีความหนึกปานกลาง ไม่แกร่งหรือนุ่มเกินไป โดยต้องเป็นเนื้อที่มีผิวฟู เป็นเนื้อที่สะอาดปราศจากการสัมผัสใดๆ ถ้าล้างด้วยสบู่ ผงซักฟอก หรือกรดผลไม้อ่อนๆ จะกลายเป็นวรรณะขาวนวลธรรมดา มีทั้งเนื้อของวัดระฆังฯและบางขุนพรหม แต่ของวัดระฆังฯมีมากกว่า
.
*โปรดติดตามตอนต่อไป …พระสมเด็จฯ 12 วรรณะ # 2
.
ขอบคุณข้อมูลและภาพจาก…
.
Th.wikipedia.org
uauction4.uamulet.com/
thairath.co.th/
FB : ห้องสมุดพระสมเด็จวัดระฆัง
FB : ศึกษาพระสมเด็จ ยุค4G ต้องมองเห็นด้วยตา
FB : พระสมเด็จศาสตร์ Phrasomdejsart Research Center