
ประวัติ : พระกริ่งปวเรศ
พระกริ่งปวเรศ เป็นพระกริ่งที่ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ สมเด็จพระสังฆราช พระองค์ที่ 8 วแห่งยุคต้นกรุงรัตนโกสินทร์ โปรดให้สร้างขึ้นเป็นรุ่นแรกในสยาม โดยทรงโปรดให้ พระยาเวียงในนฤบาล คาดว่าเป็นฝีมือของช่างสิบหมู่ หรือ ช่างหลวง ในปี พ.ศ. 2382–2434 ตั้งแต่ในสมัยรัชกาลที่ 4 เป็นต้นมาจนถึงยุคสมัยรัชกาลที่ 5
คำว่า “ปวเรศ” หมายถึง พระกริ่งที่สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ เจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศ เป็นผู้เริ่มสร้างและอธิฐานจิต ในการสร้างมีการจัดพิธีพุทธาภิเษก พิธีโหร พิธีพราหมณ์ พิธีบวงสรวงอัญเชิญเทพยดา และพระเบื้องบนให้เมตตาช่วยร่วมพิธีกรรมต่าง ๆ โดยทรงสร้างพระกริ่งนี้ เพื่อประทานให้แก่เจ้านายที่ทรงคุ้นเคย และเจ้านายที่เป็นพระอุปัชฌาย์
ตามประวัติมีการสร้าง 6 ครั้ง ระบุจำนวนการจัดสร้างไว้เพียง 2 ครั้ง รวมแล้วได้ 12 องค์ แต่ก็มีการจัดสร้างในพิธีสำคัญของพระมหากษัตริย์เท่านั้น มีเพียงครั้งที่ 6 ที่สร้างเพื่อฉลองสมณศักดิ์ สมเด็จกรมพระยาปวเรศ ที่มีการสร้างแจกเป็นที่ระลึกให้ข้าราชบริพาร พสกนิกร จึงคะเนกันว่า พระกริ่งปวเรศ น่าจะมีการสร้างไม่เกิน 30 องค์

.
.
พุทธลักษณะ พระกริ่ง
การสร้างพระกริ่งต้นแบบมาจาก จีนและทิเบต เพื่อบูชาแด่ พระพุทธไภษัชยคุรุ (พระปางหมอยา) เป็นพระพุทธรูปปางทรงถือเครื่องบำบัดโรค คือบาตรน้ำมนต์ หม้อต้มยา หรือผลสมอ ซึ่งได้รับความนิยมแพร่หลายในหลายประเทศ
“พระกริ่งปวเรศฯ” สร้างเป็นพระพุทธรูปลอยองค์หน้าจีน ปางมารวิชัย ประทับนั่งขัดสมาธิเพชร ประคองหม้อยา บนฐานบัวคว่ำบัวหงายสองชั้น ชั้นละ 7 กลีบ กลีบบัวค่อนข้างนูน และกลม ด้านก้นของพระกริ่งฯ จะมีเม็ดโลหะเล็ก ๆ บรรจุไว้ภายใน (เพื่อเขย่าแล้วเกิดเสียงเวลาสวดมนต์ขอพรจากพระพุทธองค์)อุดด้วยแผ่นฝาบาตรทองแดงบุ๋มเป็นแอ่งกะทะ ภายในบรรจุเม็ดกริ่งไว้ เขย่ามีเสียงดัง โดยเฉพาะด้านข้างของกลีบบัวหลังจะปรากฏจุดลับตอกรูปเม็ดงาไว้กันปลอมแปลง
.
.

.
*พระกริ่งทุกชนิดจะมีบัวเฉพาะด้านหน้าเป็น 7 กลีบคู่ แต่ “พระกริ่งปวเรศฯ” เพิ่มบัวหลังอีก 1 กลีบคู่ ทำให้ไม่เหมือนกับพระกริ่งใดเลย มูลเหตุที่เพิ่มบัวด้านหลัง เนื่องด้วยท่านเจ้าประคุณฯ เป็นสังฆราชองค์ที่ 8 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์นั่นเอง
.
.
มวลสาร
ใช้ นวโลหะ เป็นโลหะ 9 ชนิดคือ ทองคำ, เงิน, ทองแดง, สังกะสี, ปรอทบริสุทธิ์, เหล็กละลายตัว, เจ้าน้ำเงิน และชิน ตามตำราการสร้างแต่โบราณ นอกจากนี้ ท่านเจ้าประคุณฯ ทรงนำเนื้อฐานของพระพุทธชินสีห์ ที่จำลองมาจากวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ จ.พิษณุโลก เพื่อประดิษฐานที่วัดบวรฯ ซึ่งเก็บไว้ตั้งแต่คราว พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 โปรดเกล้าฯ ให้ทำการบูรณะฐานใหม่เมื่อปี พ.ศ. 2409 เข้ามารวมเป็นเนื้อมวลสารด้วย
โดยทรงนำส่วนผสมทั้งหมดมารวมกันแล้วตีเป็นแผ่นบางๆ ลงอักขระ “ยันต์ 108” กับ “นะปถมัง 14” เมื่อถึงฤกษ์งามยามดีที่กำหนด จึงเทหล่อเป็น “พระกริ่งปวเรศฯ” ใช้กรรมวิธีการเทแบบ “อุดก้น” ด้วยแผ่นทองแดงและกำกับปีสร้างประมาณ พ.ศ. 2416 – 2443
.

.
พุทธานุภาพ
พระไภษัชยคุรุ ถูกนับถือว่าเป็น ครูในด้านเภสัช รักษาพยาบาล ถือว่ามีอานุภาพศักดิ์สิทธิ์ป้องกันสรรพโรคาพาธและอัปมงคลต่าง ๆ จึงนิยมนำมาบูชา และใช้แช่น้ำอธิษฐานให้เป็น น้ำพระพุทธมนต์ เพื่อใช้ดื่มกินเชื่อว่าช่วยรักษาโรคภัยไข้เจ็บได้ และช่วยขจัดอันตรายทั้งหลายทั้งปวง เดินทางแคล้วคลาดปลอดภัย และด้านโชคลาภเมตตามหานิยม ในพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษาของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ก็ใช้พระกริ่งปวเรศนี้ทําน้ำพุทธมนต์ที่ใช้ในพิธีมุรธาภิเษก
ภายหลังหลวงชำนาญเลขา (หุ่น) สมุห์บัญชีในกรม ได้ขอประทานพระอนุญาตนำแบบพิมพ์ไปสร้างขึ้นอีก มีจำนวนเท่าไรไม่ปรากฏ เป็นเหตุให้ พระกริ่งปวเรศ เป็นที่เคารพศรัทธากันไปทั่วพระนคร และรวมถึงในวงการพระกริ่งปวเรศ จึงนับว่าเป็นปูชนียวัตถุ ที่มีคุณค่าทางพุทธศิลป์ และทางจิตใจ ทั้งยังเป็นพระโลหะที่มีค่านิยมสูง และหายากยิ่งที่จะเสาะแสวงหาไว้สักการะบูชา
.
**พระกริ่งมี 3 ขนาด คือ ขนาดใหญ่ สำหรับบูชาประจำบ้าน / ขนาดเล็ก สำหรับทำน้ำมนต์และบูชาห้อยติดตัว / ขนาดจิ๋วสำหรับบูชาติดตัว นิยมเรียกว่า พระชัยหรือพระชัยวัฒน์
.

.
.
ขอบคุณข้อมูลและภาพจาก…
.
Th.wikipedia.org
Pinterest.com
sanook.com/
silpa-mag.com/
puttharugsa.com/
FB ประวัติศาสตร์
FB วัดบวรนิเวศวิหาร อัลบั้ม: พิพิธภัณฑ์และห้องสมุดเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหาร
FB พระกริ่งปวเรศ รุ่นแรก องค์ในประวัติศาสตร์ ของ สมเกียรติ กาญจนชาติ